ReadyPlanet.com
dot dot dot
dot
Group Menu
dot
bullet" เว็บประกันภัยรถยนต์ "
dot
Newsletter

dot




dot
ข่าวสารจากชาวอู่
โครงการ NGV เพื่อประชาชน
 
 

1. วัตถุประสงค์ : เพื่อส่งเสริมประชาชนทั่วไปใช้ NGV เป็นเชื้อเพลิงทดแทนน้ำมันเบนซินและดีเซล

2. ประเภทรถที่เข้าร่วมโครงการ : รถยนต์ประชาชนขนาดเล็ก
     • รถยนต์ส่วนบุคคล และรถแท็กซี่
     • รถกระบะส่วนบุคคล
     • รถตู้ส่วนบุคคลและบริการสาธารณะ
     • รถนิติบุคคล (สามารถเข้าร่วมโครงการได้บริษัทละ 2 คัน)
    ปตท. ขอเชิญชวนให้รถยนต์ที่มีระยะทางวิ่ง > 50 กม./วัน และอยู่ในบริเวณที่มีสถานีบริการ NGV 57 แห่งในปัจจุบัน เข้าร่วมโครงการ

3. โปรแกรมส่งเสริมการขาย :
     • ปตท.ช่วยเหลือค่าอุปกรณ์และการติดตั้ง 10,000 บาท / คัน จำนวน 5,000 คัน
     • บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด
             - คิดอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ร้อยละ 1 ต่อเดือน (ภายใน30 เม.ย. 49)
             - คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ ร้อยละ 1.16 ต่อเดือน (ตั้งแต่30 เม.ย. 49 เป็นต้นไป)
             - ผ่อนชำระนานสูงสุด 36 เดือน
             - AEON Call Center 0-2665-0123
     • บริษัท แคปปิตอล โอเค จำกัด
             - อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 0% ใน 3 เดือนแรก และ 1.25%ในส่วนที่เหลือ (ภายใน30 เม.ย. 49)
             - ผ่อนชำระนานสูงสุด 48 เดือน)
             - OK Call Center 0-2685-1111
     • โครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV 7,000 ล้านบาท โดยมี
             - ธนาคารพาณิชย์ 8 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) ,ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ,ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) ,
               ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ,ธนาคารออมสิน ,ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ,ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และ
               ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
             - ระยะเวลาดำเนินโครงการฯ 5 ปี
             - อัตราดอกเบี้ย ประเภท บุคคลธรรมดา ไม่เกิน 5% ต่อปี
                                     ประเภท นิติบุคคล ไม่เกิน 4% ต่อปี
              ตลอดระยะเวลาการผ่อนชำระ ซึ่งสูงสุดไม่เกิน 60 งวด
4. ระยะเวลาโครงการ : 8 ก.ค. 48 – 20 เม.ย. 49 หรือจนกว่าจะครบ 5,000 คัน (ต้องติดตั้งแล้วเสร็จภายใน 20 เม.ย. 49)
5.
ขั้นตอนการติดตั้งก๊าซ NGV เข้าร่วมโครงการ 5,000 คัน
6. การรับสมัคร : สามารถสมัครได้กับ
ผู้ประกอบการติดตั้งอุปกรณ์ NGV 20 ราย

7. ผู้สนใจสามารถสอบถามได้ที่ Call center 02 217 7799

8. อุปกรณ์ NGV และค่าใช้จ่าย
     • รถเครื่องยนต์เบนซิน ติดตั้งอุปกรณ์ NGV โดยใช้ระบบเชื้อเพลิงทวิ (Bi Fuel) สามารถเลือกใช้เบนซิลหรือ NGV เป็นเชื้อเพลิง แบ่งเป็น 2 ระบบใหญ่ ดังนี้
        • แบบดูดก๊าซ(Fumigation)
            - ชนิดวงจรเปิด (คล้ายกับระบบใช้ก๊าซ LPG ในแท็กซี่ส่วนใหญ่) ค่าใช้จ่ายประมาณ 30,000-35,000 บาท/คัน (รวมถังก๊าซฯ ขนาด 70 ลิตร)
            - ชนิดวงจรปิด มีระบบอิเล็กทรอนิกส์ ควบคุมการจ่ายก๊าซ ค่าใช้จ่ายประมาณ 40,000-50,000 บท/คัน (รวมถังก๊าซฯ ขนาด 70 ลิตร)
        • แบบน้ำฉีด (Injection) ให้สมรรถนะใกล้เคียงกับรถเบนซิล ค่าใช้จ่ายประมาณ 50,000-60,000 บาท/คัน (รวมถังก๊าซฯ ขนาด 70 ลิตร)
     • รถเครื่องยนต์ดีเซลติดตั้งอุปกรณ์ NGV โดยใช้ระบบเชื้อเพลิงร่วม (Diesel Dual Fuel) สามารถเลือกใช้ NGV ร่วมกับ Diesel หรือใช้ Diesel เพียงอย่างเดียว ค่าใช้จ่ายประมาณ 30,000-45,000 บาท/คัน (รวมถังก๊าซฯ ขนาด 70 ลิตร)

9. ประโยชน์ที่ได้รับจากโครงการ
    ทดแทนการใช้น้ำมันเบนซิล 34.6 ล้านลิตร/ปี และดีเซล 5.75 ล้านลิตร/ปี คิดเป็นมูลค่า
    สมมติฐาน : รถแท็กซี่ 2,000 คัน ระยะทางวิ่ง 500 กม./วัน
                       รถประชาชน 1,000 คัน ระยะทางวิ่ง 50 กม./วัน
                       รถกระบะ 1,000 คัน ระยะทางวิ่ง 100 กม./วัน (ทดแทนดีเซล 50%)
                       รถตู้ 1,000 คัน ระยะทางวิ่ง 250 กม./วัน (ทดแทนดีเซล 50%)
                       ราคา ULG92 MOP Spot Singapore = 62$/BBL(ณ วันที่ 6 ก.ค. 48)
                       ราคา Diesel MOP Spot Singapore = 71.6$/BBL(ณ วันที่ 6 ก.ค. 48)


 
 
 
 
 
 
สาระน่ารู้ของถังก๊าซ NGV

เรียบเรียงโดย : บุญรักษ์ กาญจนวรวณิชย์
งานข้อมูลเทคโนโลยีวัสดุ

 

            ผลพวงจากการที่น้ำมันแพง ทำให้รัฐบาลหาทางออกด้วยการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการประหยัดพลังงานเพื่อลดการนำเข้าน้ำมัน รวมทั้งพยายามหาแหล่งพลังงานทดแทนน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ (natural gas) ก็เป็นแหล่งพลังงานทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะมีราคาถูกกว่าน้ำมันมาก ปัจจุบันก๊าซธรรมชาติราคาประมาณ 8.50 บาท/กิโลกรัม ขณะที่ก๊าซหุงต้ม (ก๊าซแอลพีจี - LPG) ราคาประมาณ 16.50 บาท/กิโลกรัม ส่วนน้ำมันเบนซินและดีเซลราคายิ่งสูงขึ้นอีก (~ 25 บาท/ลิตร) ความแตกต่างทางด้านราคาก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน ทำให้บริษัท ปตท จำกัด (มหาชน) ประกาศสนับสนุนการใช้เชื้อเพลิงชนิดนี้ในรถยนต์ โดยทางบริษัทยินดีออกค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งสำหรับรถที่จะติดตั้งระบบการใช้ก๊าซธรรมชาติ เนื่องจากชุดติดตั้งมีราคาแพงและต้องนำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด

สาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้ชุดติดตั้งมีราคาสูงก็คือ เรื่องถังบรรจุ เพราะการบรรจุก๊าซธรรมชาติลงถังต้องใช้ถังที่สามารถทนความดันได้สูงถึง 3,000 – 3,600 ปอนด์ต่อตารางนิ้วหรือประมาณ 200 –  240 บาร์ในสภาพการใช้งานปกติ ขณะที่ถังบรรจุก๊าซแอลพีจีใช้งานในสภาพความดันระดับ *240 - 270 ปอนด์ต่อตารางนิ้วหรือประมาณ 16 - 19 บาร์ ดังนั้นเห็นได้ว่าถังที่ใช้บรรจุก๊าซธรรมชาติต้องแข็งแรงกว่าถังบรรจุก๊าซแอลพีจีมากซึ่งนั่นทำให้ต้นทุนของชุดติดตั้งมีราคาสูงกว่าระบบก๊าซแอลพีจี

พัฒนาการของถังบรรจุ
            การใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์นั้นเริ่มมีตั้งแต่ในช่วงทศวรรษที่ 1950 – 1960 ในประเทศอิตาลีและรัสเซีย เริ่มแรกนั้นถังบรรจุผลิตขึ้นจากเหล็กกล้าและใช้มาตรฐาน US DOT 3AA หลังจากนั้นก็มีการปรับปรุงพัฒนาถังบรรจุที่มีน้ำหนักเบาแบบอื่นออกมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบรรทุกสัมภาระ และการบรรจุก๊าซ ช่วงทศวรรษที่ 1980 มีการนำถังบรรจุก๊าซที่ทำจากโลหะและหุ้มด้วยไฟเบอร์กลาสเพื่อเสริมความแข็งแรงออกมาจำหน่ายในท้องตลาดซึ่งเรียกว่าเป็นถังแบบที่ 2 (type II) และถังแบบที่ 3 (type III) ด้วยเหตุที่ตลาดต้องการใช้ถังบรรจุก๊าซน้ำหนักเบา ทำให้ผู้ผลิตพยายามพัฒนาถังบรรรจุก๊าซแบบใหม่ ๆ ที่น้ำหนักเบายิ่งขึ้นออกมา จนเมื่อปี ค.ศ.1992 ได้มีการผลิตถังบรรจุก๊าซแบบที่ 4 (type IV) ออกมา ถังบรรจุก๊าซแบบล่าสุดซึ่งผนังชั้นในทำจากวัสดุพลาสติก ส่วนผนังชั้นนอก (ทั้งหมด) เป็นไฟเบอร์กลาสหรือคาร์บอนไฟเบอร์ ดังนั้นปัจจุบันถังบรรจุก๊าซธรรมชาติที่ใช้และจำหน่ายจะมีด้วยกัน 4 แบบ ได้แก่

ถังแบบที่ 2 และ 3 จะมีผนังชั้นในเป็นโลหะบาง

แบบที่ 1 ตัวถังทำจากเหล็ก หรืออะลูมิเนียมทั้งถัง เป็นถังชนิดแรกที่มีการผลิตออกมาใช้ ปัจจุบันถังแบบที่ 1 ยังคงครองส่วนแบ่งทางการตลาดมากที่สุดเนื่องจากมีราคาขายต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับถังชนิดอื่น

แบบที่ 2 ตัวถังทำจากโลหะ (เหล็ก/อะลูมิเนียม) มีการพัฒนาการด้านเทคโนโลยีวัสดุเพิ่มขึ้นด้วยการหุ้มบริเวณ “ด้านข้างถัง” ด้วยวัสดุคอมโพสิทซึ่งเป็นโพลิเมอร์เสริมแรงด้วยใยแก้วหรือกลาสไฟเบอร์ (glass fiber)

แบบที่ 3 ตัวถังชั้นในทำจากโลหะบาง ซึ่งอาจเป็นเหล็กหรืออะลูมิเนียมก็ได้ และชั้นนอก “ทั้งหมด” ผลิตจากวัสดุคอมโพสิท

แบบที่ 4 ตัวถังชั้นในทำด้วยวัสดุพลาสติกและชั้นนอกเป็นวัสดุคอมโพสิท ที่มีเส้นใยแก้วหรือเส้นใยคาร์บอน (carbon fiber) เป็นวัสดุเสริมแรง ปัจจุบันถังแบบนี้เป็นถังที่น้ำหนักน้อยที่สุด

ค่าสัดส่วนปริมาตรต่อน้ำหนักถัง 
            ถังแบบที่ 1 ถังเหล็ก/อะลูมิเนียม มีค่าอัตราส่วนปริมาตรต่อน้ำหนักถังประมาณ 1 (ปริมาตรถัง/น้ำหนักถัง ? 1)
            ถังแบบที่ 2 ถังเหล็ก/อะลูมิเนียมหุ้มด้านข้างด้วยวัสดุคอมโพสิท มีอัตราส่วนปริมาตรต่อน้ำหนักถังประมาณ 1.25
            ถังแบบที่ 3 ถังชั้นในเป็นโลหะบางหุ้มชั้นนอกด้วยวัสดุคอมโพสิท มีอัตราส่วนปริมาตรต่อน้ำหนักถังประมาณ 2.0
            ถังแบบที่ 4 ถังชั้นในเป็นพลาสติกหรือวัสดุอื่น ๆ หุ้มชั้นนอกด้วยวัสดุคอมโพสิทประเภทคาร์บอนหรือกลาสไฟเบอร์ มีอัตราส่วนปริมาตรต่อน้ำหนักถังประมาณ 2.7

 

ภาพตัดขวางแสดงส่วนประกอบของถังบรรจุก๊าซธรรมชาติแบบที่ 4

           ค่าสัดส่วนเหล่านี้บอกอะไรได้บ้าง? การติดตั้งชุดอุปกรณ์และถังก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์ ทำให้รถยนต์มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นจากเดิม เนื่องจากน้ำหนักถังบรรจุและน้ำหนักก๊าซ กรณีของถังแบบที่ 1 ที่มีอัตราส่วนปริมาตรต่อน้ำหนักถังประมาณ 1 หมายความว่า หากติดตั้งถังที่มีปริมาตร 70 ลิตร ถังบรรจุจะมีน้ำหนักประมาณ 70 กิโลกรัม ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับถังแบบที่ 4 ที่มีอัตราส่วนเท่ากับ 2.7 หมายถึงถังปริมาตร 70 ลิตรจะมีน้ำหนักประมาณ 26 กิโลกรัมเท่านั้น ดังนั้นน้ำหนักโดยรวมของรถที่ใช้ถังแบบที่ 1 กับรถที่ใช้ถังแบบที่ 4 จะแตกต่างกันประมาณ 44 กิโลกรัม
           น้ำหนักของรถที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการติดตั้งถังบรรจุก๊าซมีผลทำให้เครื่องยนต์ต้องทำงานมากขึ้น ซึ่งหมายถึงรถยนต์จะกินน้ำมันมากขึ้น ดังนั้นความแตกต่างเรื่องน้ำหนักถังจึงเป็นประเด็นที่น่าสนใจประเด็นหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถยนต์ขนาดใหญ่ เช่น รถบรรทุกสินค้า  รถขนส่งมวลชน เป็นต้น หากพิจารณาว่าต้องติดตั้งถังแบบที่ 1 ที่แต่ละถังหนัก 70 กิโลกรัมและต้องติดตั้งหลายถัง (70 x X, X = จำนวนถัง) เพื่อให้ได้ก๊าซธรรมชาติมากพอสำหรับการวิ่งระยะทางไกล ๆ แต่ทั้งนี้ต้องพิจารณาถึงความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคาถังแบบที่ 4 ที่แตกต่างกับราคาถังแบบที่ 1 ค่อนข้างมาก

ความปลอดภัยของถังบรรจุ
           เรื่องความปลอดภัยของถังบรรจุเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุด เนื่องจากถังบรรจุใช้งานที่ความดันสูง ดังนั้นมาตรฐานความปลอดภัยของถังบรรจุก๊าซธรรมชาติจึงเข้มข้นกว่าถังบรรจุก๊าซหุงต้มมาก ปัจจุบันการผลิตถังบรรจุก๊าซธรรมชาติต้องดำเนินภายใต้มาตรฐาน ISO 11439 ซึ่งกำหนดมาตรฐานการออกแบบ การทดสอบ และความปลอดภัยของถังบรรจุก๊าซไว้ว่า ถังต้องรองรับการบรรจุก๊าซได้สูงถึงปีละ 1,000 ครั้ง ถังมีอายุการใช้งานไม่เกิน 20 ปี ที่ระดับแรงดัน 200-240 บาร์ ณ อุณหภูมิ 15 องศาเซลเซียส และกำหนดให้ถังบรรจุก๊าซต้องมีการตรวจสอบทุกๆ 3 ปีหรือหลังจากเกิดอุบัติเหตุ

* หมายเหตุ
ถังบรรจุก๊าซหุงต้มมีการทดสอบที่เรียกว่า “การทดสอบความดันไฮดรอลิกพิสูจน์” ทดสอบโดยใช้ความดันน้ำระดับ 3.30 เมกะปาสคาล (479 ปอนด์ต่อตารางนิ้วหรือ 33 บาร์)

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

 
 

 

 

 

 
 






Copyright © 2010 All Rights Reserved.